โรคติดเชื้อที่สำคัญใน “สุนัข” ที่มีวัคซีนสามารถป้องกัน หรือลดความรุนแรงของโรคได้

ในปัจจุบันยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวับการทำวัคซีนในสัตว์อยู่ ทั้งในสุนัขและแมว เช่น

❌ วัคซีนพิษสุนัขบ้า ทำแค่ในสุนัขเท่านั้น

❌ วัคซีนที่จำเป็น มีแค่วัคซีนพิษสุนัขบ้า

❌ ได้รับวัคซีนพิษสุนัขบ้าเข็มเดียว ป้องกันไปตลอดชีวิต

 

วัคซีนที่จำเป็นในสุนัข มีดังนี้

1. วัคซีนรวม 5 โรค ประกอบไปด้วย

  • วัคซีนป้องกันโรคไข้หัดสุนัข (Canine Distemper) ช่วยป้องกันการเกิดโรคไข้หัดที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งเป็นโรคติดต่อร้ายแรง ไม่ติดในแมว แต่ก็มีติดในสัตว์อื่นได้ เช่น แรคคูน เฟอร์เร็ต
  • วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบติดต่อในสุนัข (Canine Hepatitis) ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส
  • วัคซีนโรคลำไส้อักเสบพาร์โวไวรัสในสุนัข (Canine Parvovirus) เกิดจากโรคไวรัส ติดได้ทั้งในสุนัขและแมว วัคซีนจะไปช่วยลดความรุนแรงของโรค
  • วัคซีนป้องกันโรคฉี่หนู (Leptospirosis) ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ติดในคนได้ แต่เชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคฉี่หนูนั้นมีหลายชนิด ซึ่งวัคซีนสามารถป้องกันได้แค่บางชนิด ดังนั้นหากได้รับเชื้อที่ไม่ใช่ชนิดที่ฉีดวัคซีนไปก็อาจจะติดโรคได้
  • วัคซีนโรคหวัดและหลอดลมอักเสบติดต่อในสุนัข (Canine Infectious Tracheobronchitis/Kennel cough) ซึ่งเกิดได้จากทั้งแบคทีเรียและไวรัส แต่ในวัคซีนมีแค่เชื้อไว้รัสพาราอินฟลูเอนซ่า และอะดีโนไวรัส ไทป์ 2 เท่านั้น เนื่องจากมักเกิดจากเชื้อทั้ง 2 ชนิดนี้

บางยี่ห้อมีวัคซีนป้องกันโรคโคโรน่าไวรัส (Canine Coronavirus) มาด้วย

ในปัจจุบีนมีวัคซีนหยดจมูกเป็นวัคซีนทางเลือก ป้องกันโรคหลอดลมอักเสบติดต่อในสุนัข (Canine Infectious Tracheobronchitis/Kennel cough) ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella bronchiseptica ซึ่งมักติดร่วมกับเชื้อไวรัสที่กล่าวไปด้วย แนะนำให้ทำเพิ่มเติมในสุนัขที่มีความเสี่ยงอย่างลูกสุนัข สุนัขพันธุ์หน้าสั้น สุนัขที่มีระบบทางเดินหายใจผิดปกติ และโดยเฉพาะสุนัขกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น สุนัขที่ถูกเลี้ยงอย่างเลี้ยงหนาแน่น สุนัขที่ต้องพบปะสุนัขอื่น หรือมีการเดินเล่นในที่สาธารณะเป็นประจำ เป็นต้น

2. วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)

ซึ่งวัคซีนจะต้องฉีดให้ครบโปรแกรม และต้องฉีดกระตุ้นต่อเนื่องทุกปี จึงจะมีภูมิคุ้มกันต่อโรคได้อย่างต่อเนื่อง โดยโปรแกรมวัคซีน เราได้กล่าวมาในบทความก่อนหน้าแล้ว ดังนี้

 

ในบทความนี้เราจะมากล่าวถึงโรคติดเชื้อกันนะคะ

 

1️⃣ โรคไข้หัดสุนัข (Canine Distemper)

 

❗️ โรคติดเชื้อ “ไวรัส” ติดต่อร้ายแรง และติดต่อได้ง่าย มักรุนแรงมากในลูกสัตว์

❗️ ติดเฉพาะในสุนัข 🐶 และสัตว์ป่าหลายชนิด เช่น แรคคูน สกั๊งค์ สุนัขจิ้งจอก เฟอเรต เป็นต้น

❗️ ป้องกันก่อนการติดเชื้อได้ หากฉีดวัคซีนครบโปรแกรมที่กล่าวไป

❌ ไม่เกี่ยวข้องกับโรคไข้หัดแมว (Feline Parvovirus)

 

อาการของโรค (ไม่จำเป็นต้องพบทุกอาการพร้อมกัน)

– มีไข้ 🤒

– มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ : มีขี้มูก ขี้ตา อาจพบไอ จาม หายใจลำบาก พบปอดอักเสบได้ 🤧

– มีอาการทางระบบทางเดินอาหาร : ถ่ายเหลว อาจพบอาเจียน 💩

– มีอาการทางระบบประสาท : ชัก อ่อนแรง กล้ามเนื้อกระตุก กรามค้าง อาจถึงขั้นเป็นอัมพาต เนื่องจากสมองอักเสบ 🧠 มักพบในระยะท้ายของโรค

– มีผิวหนังบริเวณจมูกและฝ่าเท้าหนาตัวขึ้น ทำให้เดินลำบาก

– หากติดเชื้อในสุนัขตั้งท้อง อาจแท้งได้

 

การแพร่เชื้อ (มีระยะแพร่เชื้อยาวนานหลายเดือน)

– ติดผ่านทางการสัมผัสน้ำมูก น้ำลายที่มีเชื้อผ่านละอองฝอยในอากาศ 💦

– ติดผ่านทางการสัมผัสน้ำมูก น้ำลายที่มีเชื้อโดยตรง

– ติดผ่านทางรก จากแม่สู่ลูก

แสดงอาการใน 7-14 วัน หลังได้รับเชื้อ

 

การวินิจฉัย

– ตรวจชุดทดสอบจากการ swab สิ่งคัดหลั่ง

– ตรวจ RT-PCR จาก swab สิ่งคัดหลั่ง เลือด น้ำไขสันหลัง หรือปัสสาวะ

และอื่น ๆ ตามพิจารณาของสัตวแพทย์

 

ความทนทานของเชื้อ

– เชื้อไม่ทนต่อสิ่งแวดล้อม สามารถกำจัดได้โดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไป ผงซักฟอก หรือแสงยูวี

แต่เชื้อนี้มีการแพร่ทางอากาศ และมีระยะแพร่เชื้อยาวนานหลายเดือน จึงต้องใช้การจัดการอื่น ๆ มาป้องกันโรคร่วมด้วย

 

การรักษา และการจัดการ

– ไม่มีการรักษาที่จำเพาะเจาะจง เป็นการรักษาแบบประคับประคองอาการตามอาการที่พบ

– แยกเลี้ยงสัตว์ป่วยในระบบปิดมิดชิด เนื่องจากแพร่ผ่านทางละอองฝอยในอากาศได้

– แยกของใช้สัตว์ป่วย ไม่ใช้ร่วมกับตัวที่ยังไม่แสดงอาการ

– ใส่ถุงมือขณะสัมผัสสัตว์ป่วย และของใช้ต่าง ๆ ของสัตว์ป่วย

– ทำความสะอาดพื้นที่ ของใช้สัตว์ป่วยสม่ำเสมอ

 

การป้องกัน

– ทำวัคซีนให้ครบตามโปรแกรม

– เลี้ยงระบบปิดเพื่อลดการสัมผัสเชื้อจากสัตว์อื่น

 

2️⃣ โรคตับอักเสบติดต่อในสุนัข (Canine Hepatitis)

 

❗️ โรคติดเชื้อ “ไวรัส” ติดต่อร้ายแรง มักรุนแรงมากในลูกสัตว์

❗️ ติดเฉพาะในสุนัข 🐶 สุนัขป่า และหมี

❗️ ป้องกันก่อนการติดเชื้อได้ หากฉีดวัคซีนครบโปรแกรมที่กล่าวไป

 

อาการของโรค (ไม่จำเป็นต้องพบทุกอาการพร้อมกัน)

– มีไข้ 🤒

– ต่อมทอนซิลอักเสบ

– อาเจียน

– ถ่ายเหลว

– ท้องโต ปวดท้อง

– ตัวเหลือง ดีซ่าน

– กระจกตาอักเสบ (ตาขุ่น สีฟ้า เรียกว่า Blue eye)

– ต่อมน้ำเหลืองในร่างกายอักเสบ

– กรีณีตับอักเสบรุนแรงมาก จะมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด จะพบจุดแดงบนผิวหนังและรอยฟกช้ำ

 

การแพร่เชื้อ

– ติดผ่านทางการสัมผัสอุจจาระ ปัสสาวะ เลือด น้ำมูกและน้ำลายที่มีเชื้อและปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อม

– ติดผ่านทางการสัมผัสอุจจาระ ปัสสาวะ เลือด น้ำมูกและน้ำลายที่มีเชื้อโดยตรง

**เมื่อหายแล้วจะสามารถแพร่เชื้อไวรัสทางปัสสาวะได้ยาวนานเป็นปี

**เชื้อคงทนในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายสัปดาห์จนถึงหลายเดือน

แสดงอาการใน 4-7 วัน หลังได้รับเชื้อ

 

การวินิจฉัย

– ตรวจได้ค่อนข้างยาก ต้องเก็บชิ้นเนื้อตับไปตรวจทางพยาธิวิทยา

 

ความทนทานของเชื้อ

– เมื่อหายแล้วจะสามารถแพร่เชื้อไวรัสทางปัสสาวะได้ยาวนานเป็นปี

– เชื้อคงทนในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายสัปดาห์จนถึงหลายเดือน ทนต่อน้ำยาฆ่าเชื้อพวกกรดและฟอร์มาลีน จึงต้องใช้การจัดการอื่น ๆ มาป้องกันโรคร่วมด้วย

 

การรักษา และการจัดการ

– ไม่มีการรักษาที่จำเพาะเจาะจง เป็นการรักษาแบบประคับประคองอาการตามอาการที่พบ (หากผ่านพ้นช่วงวิกฤตไปได้ จะรอดชีวิต)

– แยกเลี้ยงสัตว์ป่วยในระบบปิดมิดชิด เนื่องจากเชื้อคงทนในสิ่งแวดล้อม และทนต่อน้ำยาฆ่าเชื้อต่าง ๆ

– แยกของใช้สัตว์ป่วย ไม่ใช้ร่วมกับตัวที่ยังไม่แสดงอาการ

– ใส่ถุงมือขณะสัมผัสสัตว์ป่วย และของใช้ต่าง ๆ ของสัตว์ป่วย

– ทำความสะอาดพื้นที่ ของใช้สัตว์ป่วยสม่ำเสมอ

 

3️⃣ โรคลำไส้อักเสบพาร์โวไวรัสในสุนัข (Canine Parvovirus)

 

❗️ โรคติดเชื้อ “ไวรัส” ติดต่อร้ายแรง มักรุนแรงมากในลูกสัตว์

❗️ ติดทั้งในสุนัข 🐶 และแมว (ในแมว เรียก “โรคไข้หัดแมว”)

❗️ หากฉีดวัคซีนครบตามโปรแกรม และมีภูมิคุ้มกัน วัคซีนไปช่วยลดความรุนแรงของโรคได้

 

อาการของโรค

– มีไข้ 🤒 หรืออุณหภูมิร่างกายต่ำ

– อาเจียน

– ถ่ายเหลว อาจพบถ่ายเหลวปนมูกเลือด (เลือดออกในทางเดือนอาหารส่วนปลาย) หรือมีสีดำ (เลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น)

– หากมีอาเจียนถ่ายเหลวมาก ๆ ไม่ได้รับการรักษา จะเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรงจนช็อกได้

– ในลูกสัตว์แรกเกิดอาจพบกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลันแล้วเสียชีวิตได้

 

การแพร่เชื้อ

– ติดผ่านทางการสัมผัสอุจจาระที่มีเชื้อและปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อม มนุษย์ และสัตว์ตัวอื่น ๆ

– ติดผ่านทางการสัมผัสอุจจาระที่มีเชื้อโดยตรง

**เมื่อหายแล้วจะสามารถแพร่เชื้อไวรัสทางอุจจาระได้ยาวนานเป็นปี

**เชื้อคงทนในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายเดือน อาจมากกว่าหนึ่งปี

แสดงอาการใน 3-7 วัน หลังได้รับเชื้อ

 

การวินิจฉัย

– ตรวจด้วยชุดทดสอบโรค หาเชื้อไวรัสจาก swab อุจจาระทางก้น

– ตรวจด้วยวิธี PCR จาก swab อุจจาระทางก้น

– ตรวจค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดแดง ในบางตัวพบค่าเม็ดเลือดขาวต่ำร่วมด้วย หาพบภาวะดังกล่าวจะค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อแทรกซ้อนที่ทำให้มีโอกาสเสียชีวิตได้สูงขึ้น

 

ความทนทานของเชื้อ

– เมื่อหายแล้วจะสามารถแพร่เชื้อไวรัสทางปัสสาวะได้ยาวนานเป็นปี

– เชื้อคงทนในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายสัปดาห์จนถึงหลายเดือน ทนต่อแอลกอฮอล์ เดทตอล ต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่ออกฤทธิ์ oxidizing เช่น กลุ่ม peroxide compound หรือ sodium hypochlorite (เจือจาง 3%) (Haiter ซักผ้าขาว) แต่ต้องแช่ไว้อย่างน้อย 30 นาที จึงจะออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้ดี ดังนั้นจึงต้องใช้การจัดการอื่น ๆ มาป้องกันโรคร่วมด้วย

 

การรักษา และการจัดการ

– ไม่มีการรักษาที่จำเพาะเจาะจง เป็นการรักษาแบบประคับประคองอาการตามอาการที่พบโดยสัตวแพทย์เท่านั้น การให้ยาเอง อาจทำให้ส่งผลเสียต่อสัตว์ และเพิ่มโอกาสที่จะเสียชีวิตได้

(หากผ่านพ้นช่วงวิกฤตไปได้ จะรอดชีวิต แต่อาจจะยังมีอาการถ่ายเหลวเรื้อรังและแพร่เชื้อได้ เพราะผนังลำไส้ถูกทำลาย ต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟู ซึ่งขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความเสียหายที่ผนังลำไส้)

– แยกเลี้ยงสัตว์ป่วยในระบบปิดมิดชิด เนื่องจากเชื้อคงทนในสิ่งแวดล้อม และทนต่อน้ำยาฆ่าเชื้อต่าง ๆ

– แยกของใช้สัตว์ป่วย ไม่ใช้ร่วมกับตัวที่ยังไม่แสดงอาการ

– ใส่ถุงมือขณะสัมผัสสัตว์ป่วย และของใช้ต่าง ๆ ของสัตว์ป่วย

– ทำความสะอาดพื้นที่ ของใช้สัตว์ป่วยสม่ำเสมอ

 

โรคฉี่หนู (Leptospirosis)

 

❗️ โรคติดเชื้อ “แบคทีเรีย เลปโตสไปร่า” ติดต่อร้ายแรง โดยมีหนูเป็นพาหะนำโรค

❗️ ติดทั้งในสุนัข 🐶 แมว  สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอื่น ๆ รวมถึง คน (zoonosis) ❗️

❗️ ป้องกันก่อนการติดเชื้อได้ หากฉีดวัคซีนครบโปรแกรมที่กล่าวไป

แต่ !!! เนื่องจากแบคทีเรียชนิดนี้ มีหลายสปีชีส์ ซึ่งมีสปีชีส์หนึ่งที่ก่อโรค นอกจากนี้ในสปีชีส์ที่ก่อโรคนั้น ยังมีหลายร้อยสายพันธุ์ย่อย(ซีโรวาร์) ซึ่งวัคซีนสามารถป้องกันได้แค่เพียงการติดเชื้อจาก 4 สายพันธุ์ย่อยเท่านั้น จึงไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้อย่างสมบูรณ์

 

อาการของโรค

– มีไข้ 🤒 หรืออุณหภูมิร่างกายต่ำ

– ตาเหลือง ตัวเหลือง ดีซ่าน

– โลหิตจาง

– ปัสสาวะปนเลือด

– ไตวาย อาจเสียชีวิต โดยเฉพาะในลูกสุนัขและลูกแมว

– หากติดในสัตว์ที่ตั้งท้อง ทำให้แท้งลูกได้

 

การแพร่เชื้อ

– ติดผ่านทางการสัมผัสปัสสาวะของสัตว์ที่ติดเชื้อหรือปัสสาวะของหนูที่มีเชื้อผ่านทางเยื่อเมือก ผิวหนัง โดยเฉพาะผิวหนังที่มีบาดแผลโดยตรง

– ติดผ่านทางการสัมผัสน้ำ ดิน โคลนที่ปนเปื้อนปัสสาวะของสัตว์ที่ติดเชื้อหรือปัสสาวะของหนูที่มีเชื้อผ่านทางเยื่อเมือก ผิวหนัง โดยเฉพาะผิวหนังที่มีบาดแผล **มักไม่ค่อยพบติดเชื้อในแมว เนื่องจากแมวไม่ชอบเล่นน้ำ

แสดงอาการใน 4-12 วัน หลังได้รับเชื้อ

 

การวินิจฉัย

– ตรวจทางโมเลกุลวิทยา หาเชื้อ หรือ DNA ของเชื้อในเลือด หรือปัสสาวะของสุนัขที่สงสัย (สามารถเจอได้ตั้งแต่ 3 วันแรก)

– ตรวจทางเซรั่มวิทยา โดยนำเลือดของสัตว์ป่วยไปตรวจ เพื่อหาการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน (ในช่วงแรกอาจยังตรวจไม่พบ)

 

ความทนทานของเชื้อ

– คงทนในสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเป็นแบคทีเรีย ปนเปื้อนอยู่ในน้ำ ดิน โคลนได้

 

การรักษา และการจัดการ

– ให้ยาฆ่าเชื้อตามพิจารณาของสัตวแพทย์ และรักษาภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น

– แยกเลี้ยงสัตว์ป่วยในระบบปิดมิดชิด เนื่องจากเป็นโรคติดต่อสู่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมชนิดอื่น ๆ รวมถึง คนด้วย

– ใส่ถุงมือขณะสัมผัสสัตว์ป่วย และของใช้ต่าง ๆ ของสัตว์ป่วย

**ระวังน้ำที่มีการปนเปื้อนของเชื้อ เนื่องจากสามารถปนเปื้อนในแหล่งน้ำได้

– กำจัดแหล่งพาหะนำโรค

 

โรคหวัดและหลอดลมอักเสบติดต่อในสุนัข
(Canine Infectious Tracheobronchitis (ITB)/Kennel cough/Canine Infectious Respiratory Disease Complex (CIRDC))

 

❗️ โรคติดเชื้อ “แบคทีเรีย และไวรัส หลายชนิด” มักรุนแรงในลูกสุนัข สุนัขพันธุ์หน้าสั้น และสุนัขที่มีระบบทางเดินหายใจผิดปกติ

อาจติดเพียงเชื้อใดเชื้อหนึ่ง หรือติดหลายเชื้อร่วมกัน ซึ่งการติดหลายเชื้อร่วมกัน เรียกว่า “Superinfection”

 เชื้อไวรัส
– Canine Influenza Virus (Dog Flu) subtype H3N8
– Canine Parainfluenza virus (CPiV)
– Canine Adenovirus -2 (CAV-2)
– Canine Distemper Virus (เชื้อไข้หัดสุนัข)
– Canine Respiratory Corona Virus (CRCoV)
– Canine Herpes Virus
เชื้อแบคทีเรีย
– Bordetella bronchiseptica
– Mycoplasma spp.
– Streptococcus zooepidemicus
เชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้แก่ Staphylococcus, Pseudomonas, Klebsiella, E. coli เป็นต้น

❗️ ติดเฉพาะในสุนัข 🐶

แต่ในเชื้อแบคทีเรีย Bordetella bronchiseptica นี้ สามารถติดคนได้ ต้องระวังในเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

❗️ ป้องกันก่อนการติดเชื้อได้ หากฉีดวัคซีนครบโปรแกรมที่กล่าวไป

แต่ในวัคซีนมีแค่เชื้อไว้รัสพาราอินฟลูเอนซ่า (Canine Parainfluenza Virus (CPiV))  และอะดีโนไวรัส ไทป์ 2 (Canine Adenovirus -2 (CAV-2)) เท่านั้น เนื่องจากมักเกิดจากเชื้อทั้ง 2 ชนิดนี้

ในปัจจุบีนมีวัคซีนหยดจมูกเป็นวัคซีนทางเลือก ป้องกันโรคหลอดลมอักเสบติดต่อในสุนัข (Canine Infectious Tracheobronchitis/ Kennel cough) ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella bronchiseptica ซึ่งมักติดร่วมกับเชื้อไวรัสที่กล่าวไปด้วย แนะนำให้ทำเพิ่มเติมในสุนัขที่มีความเสี่ยงอย่างลูกสุนัข สุนัขพันธุ์หน้าสั้น สุนัขที่มีระบบทางเดินหายใจผิดปกติ และโดยเฉพาะสุนัขกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น สุนัขที่ถูกเลี้ยงอย่างเลี้ยงหนาแน่น สุนัขที่ต้องพบปะสุนัขอื่น หรือมีการเดินเล่นในที่สาธารณะเป็นประจำ เป็นต้น

โดยวัคซีนชนิดนี้เริ่มทำให้ตั้งแต่อายุ 2 สัปดาห์ จากนั้นกระตุ้นอีกเข็มใน 4 สัปดาห์ถัดไป จากนั้นกระตุ้นประจำปีทุกปี

 

อาการของโรค

– ไอ (ไอแห้ง หรือไอมีเสมหะก็ได้ หากไอมีเสมหะ มักมีอาการขาก คล้ายอะไรติดคอร่วมด้วย)

– ตาอักเสบ มีขี้ตา

– มีน้ำมูก (น้ำมูกใส หรือเขียวข้นก็ได้ หากน้ำมูกใส มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ส่วนน้ำมูกเขียวข้นมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย)

– อาจมีไข้ร่วมด้วย

– ในรายที่รุนแรง อาจมีอาการหายใจลำบาก ปอดอักเสบ ถึงขั้นรุนแรง เสียชีวิตได้

 

การแพร่เชื้อ

– ติดผ่านทางการสัมผัสละอองน้ำมูกและน้ำลายในอากาศจากการไอหรือจามของสัตว์ป่วยเข้าสู่ทางเดินหายใจโดยตรง

– ติดต่อผ่านทางการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งจากปากและจมูกโดยตรงจากการดมกัน

– ติดต่อผ่านทางสัมผัสเชื้อที่ปนเปื้อนมากับภาชนะและมือของคนที่ไปสัมผัสกับสัตว์ป่วย มักจะเกิดจากการที่พาน้องหมาไปเดินเล่นตามแหล่งชุมชนที่มีน้องหมาอยู่รวมกันจำนวนมาก เช่น สวนสาธารณะ งานประกวดสุนัข

แสดงอาการใน 3-10 วัน หลังได้รับเชื้อ

 

การวินิจฉัย

– จากอาการทางคลินิก

– อาจมีการเพาะเชื้อแบคทีเรียด้วยหากมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย

 

ความทนทานของเชื้อ

– สามารถทำลายได้ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น Sodium hypochlorite (สารฟอกขาว – Haiter ซักผ้าขาว) Chlorhexidine หรือ Benzalkonium

 

การรักษา และการจัดการ

– ให้การรักษาแบบประคับประคองอาการตามอาการที่พบตามพิจารณาของสัตวแพทย์ อาจมีการรักษาด้วยวิธีการพ่นยาและน้ำเกลือ (Aerosol therapy, Nebulization) ด้วยละอองที่มีอนุภาคขนาดเล็กคล้ายควันเพื่อให้สุนัขสูดดมเข้าไป เพื่อละลายเสมหะ และให้ถูกขับออกมาได้ง่ายขึ้น

– แยกเลี้ยงสัตว์ป่วยในระบบปิดมิดชิด เนื่องจากเป็นโรคติดต่อผ่านทางละอองในอากาศ

– ใส่ถุงมือขณะสัมผัสสัตว์ป่วย และของใช้ต่าง ๆ ของสัตว์ป่วย

– ทำความสะอาดพื้นที่ในส่วนที่สัตว์ป่วยเคยอยู่ และพักไว้ 1-2 สัปดาห์

 

โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)

 

❗️ โรคติดเชื้อ “ไวรัส” ติดต่อร้ายแรง

❗️ ติดทั้งในสุนัข 🐶 แมว  สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอื่น ๆ เช่น วัว กระรอก หนู วาฬ โลมา รวมถึง คน (zoonosis) ❗️

❗️ ป้องกันก่อนการติดเชื้อได้ หากฉีดวัคซีนครบโปรแกรมที่กล่าวไป

 

อาการของโรคในสุนัข มี 2 แบบ

  • อาการแบบดุร้าย มี 3 ระยะ (ตั้งแต่ระยะแรก จนพัฒนาถึงระยะอัมพาต ใช้เวลาเพียงแค่ 2-7 วัน)
  1. ระยะแรก – เบื่ออาหาร กลืนอาหารลำบาก น้ำลายไหลมากกว่าปกติ นิสัยเปลี่ยนไป
  2. ระยะตื่นเต้น – ตื่นเต้น ก้าวร้าวมากขึ้น ร้องโหยหวน ดุร้าย ถึงขั้นทำร้ายมนุษย์ วิ่งชนสิ่งกีดขวาง
  3. ระยะอัมพาต (อาการจะแย่ลงเมื่อเชื้อพิษสุนัขบ้าเข้าสู่สมอง) – เป็นอัมพาต ล้มตัวลงนอน ชัก และเสียชีวิตในที่สุด
  • อาการเซื่องซึม – กลุ่มนี้จะแสดงอาการดุร้ายก้าวร้าวสั้นมาก จนแทบไม่ทันได้สังเกต ในบางตัวยังพบว่า สัตว์จะแสดงอาการกล้ามเนื้อกระตุก ใบหูบิด หางบิด มีอาการไอคล้ายมีสิ่งแปลกปลอดติดคอ และร้องเสียงแหบต่ำ เข้าสู่การเป็นอัมพาตอย่างรวดเร็ว เซื่องซึมเกือบตลอดเวลา น้ำลายไหลมาก การทำงานของกล้ามเนื้อขาไม่สัมพันธ์กัน สุดท้ายเกิดการชัก และเสียชีวิต

 

การแพร่เชื้อ

– ติดผ่านทางการผ่านการกัดโดยสัตว์ที่ติดเชื้อโดยตรง (เชื้ออยู่ในน้ำลายสัตว์ติดเชื้อ) เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะเดินทางผ่านจากระบบไหลเวียนโลหิตเข้าสู่ระบบประสาท

– ติดผ่านทางการสัมผัสน้ำลายของสัตว์ที่ติดเชื้อเข้าสู่บาดแผลหรือเยื่อเมือก

– ติดต่อผ่านทางการข่วนได้ เนื่องจากสัตว์อาจจะเลียที่บริเวณเล็บ หรือเท้า ทำให้บริเวณนั้นมีน้ำลายที่มีเชื้ออยู่ด้วย โดยเฉพาะในแมวที่ชอบเลียตัว

แสดงอาการใน 14-90 วัน หลังได้รับเชื้อ **ค่อนข้างนาน หากสงสัยว่าสัตว์ติดเชื้อ จะมีการกักตัวค่อนข้างนาน

 

การวินิจฉัย

– ตรวจหาเชื้อไวรัสจากสมองของสัตว์ที่เสียชีวิต

– ตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อโรคพิษสุนัขบ้า
– ตรวจหาเชื้อไวรัสด้วยวิธี PCR
– ตรวจทางจุลพยาธิวิทยา และ immunohistochemistry

 

การรักษา และการจัดการ

– รักษาแบบประคับประคองอาการ เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่มียารักษา และมักเสียชีวิตแทบทุกราย

– ต้องใส่ถุงมือเมื่อสัมผัสสัตว์ป่วย

– การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าที่ดีที่สุด คือ ระวังอย่าให้สัตว์เลี้ยงของเราถูกสุนัขกัดหรือแมวกัด อย่าไปแหย่ให้สัตว์โมโห และการป้องกันโดยการฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าเป็นประจำทุกปี

 

นี่คือโรคติดเชื้อในสุนัขที่วัคซีนสามารถป้องกันการติดโรค หรือช่วยลดความรุนแรงของโรคได้หลังมีการติดเชื้อค่ะ